สำหรับใครที่กำลังติดหวาน
ไม่ว่าจะรับประทานอาหารอะไรหรือดื่มเครื่องดื่มชนิดไหนก็ต้องเน้นความหวาน
เป็นหลัก เราไม่ได้จะบอกให้เลิกหรือหยุด
แต่เราอยากจะแนะนำการรับประทานอาหารให้สมดุลในเรื่องของรสชาติมากขึ้นเพื่อ
สุขภาพที่ดีกว่าเดิม
หวานแค่ไหนถึงจะเรียกว่ากำลังพอดี
หลาย
คนอาจจะถูกสอนกันมาตั้งแต่เด็กว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา
เพราะฉะนั้นถ้าเลือกได้ให้หยุดรับประทานหวานจะดีต่อสุขภาพที่สุด
แต่ในความเป็นจริงแล้วความหวานไม่ได้ร้ายกาจหรือส่งผลทางลบต่อสุขภาพขนาด
นั้น เพราะความหวานจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายได้ในวันที่อ่อนล้า
รวมถึงยังทำให้รู้สึกสดใสมากขึ้นได้อีกด้วย
แต่หวานเท่าไรถึงจะเรียกว่าพอดี...
องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าปริมาณ
พลังงานที่ได้จากการบริโภคน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10
ของปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน ประกอบกับครึ่งหนึ่งของปริมาณนี้
เราได้รับจากมื้ออาหารอื่นๆ ที่ไม่อาจทราบปริมาณที่แน่นอน ดังนั้น
ปริมาณน้ำตาลที่เราสามารถบริโภคเพิ่มเติมได้จึงไม่ควรเกินร้อยละ 5
ของปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน
และนี่ก็เป็นที่มาของคำแนะนำที่ว่า...“ผู้ใหญ่ทั่วไปที่ต้องการพลังงานวันละ
2,000 กิโลแคลอรี ปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24
กรัม*”
ขมๆ หวานๆ บ้างก็ดี
ขม
เป็นยาคือคำกล่าวของคนไทยในสมัยก่อน
ฟังแล้วหลายคนอาจจะรู้สึกว่าต้องเน้นรสขมเป็นหลักเลยเหรอ จริงๆ
แล้วการเดินทางสายกลางคือทางเลือกที่ดีที่สุด หวานๆ ขมๆ ปะปนกันไป
ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่ครบในทุกด้าน
แล้วถ้ากำลังคิดว่า ขม
ขนาดไหนถึงจะเรียกว่าเป็นยา
โบราณเน้นความขมจากบอระเพ็ดว่าเป็นสุดยอดของรสชาติที่รับประทานได้ยากที่สุด
แต่ก็ให้ประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน ดังนั้นคนรุ่นใหม่
ถ้าอยากลองรับความขมที่มีประโยชน์ในแบบที่เรียกได้ว่าเหมือนต้นฉบับ
แนะนำให้ลองรับประทานบอระเพ็ด
เพราะถ้าทำได้เป็นประจำจะดีต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากบอระเพ็ดมีทั้งสรรพคุณที่ช่วยลดโคเลสเตอรอล ต้านโรคมะเร็ง
สลายไขมัน และยังทำให้ร่างกายแข็งแรงจนโรคหวัดหรือโรคเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ
จะไม่ถามหาเลย แต่ถ้าใครยังไม่สามารถลิ้มรสรับความขมได้มากขนาดนั้น
แนะนำลองผสมผงบอระเพ็ดเข้ากับเครื่องดื่ม อาทิ
กาแฟหรือชาที่รับประทานเป็นประจำเพื่อให้สามารถรับประทานได้ง่ายขึ้น
พูดคำว่า “หวานน้อย” จนติดเป็นนิสัย
เชื่อ
หรือไม่ว่าอาหารบางชนิดแค่ลดหวานลงครึ่งช้อนสามารถทำให้คุณลดน้ำหนักได้มาก
ถึง 10 กิโลกรัมต่อปี
ซึ่งนี่คือการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนียที่ให้ผู้
หญิงและผู้ชายลดปริมาณความหวานในอาหารและเครื่องดื่มลงหนึ่งช้อนเสมอ
ผลปรากฏว่าเมื่อทำจนครบปี ทุกคนมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยลดลงที่ 8-10 กิโลกรัม
โดยที่ทุกคนไม่ได้อดอาหารหรือออกกำลังกายอย่างหักโหม
และที่สำคัญนอกจากน้ำหนักจะลดลงแล้ว อาการเจ็บป่วยยังน้อยลงอีกด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรเพื่อสุขภาพที่ดีให้กำชับคนทำ
สักหน่อยว่า “หวานน้อย” ให้ติดเป็นกิจวัตร
เพราะคุณจะได้สุขภาพและรูปร่างที่ดีขึ้น
โดยที่รสชาติอาหารไม่ได้เปลี่ยนไปเลย หรือต้องอ่านฉลากโภชนาการให้เป็นนิสัย
และเลือกอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีมีน้ำตาลน้อย
หรือไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลมารับประทาน
แต่อาจสารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อคงรสชาติให้ยังถูกปากเหมือนเดิมแต่ช่วย
ให้ไม่ต้องบริโภคน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น