“โยคะ” คือการฝึกพัฒนาร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ
โดยเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องทำพร้อมกับการกำหนดลมหายใจ
นับเป็นการเตรียมกายใจให้พร้อมเพื่อเสริมสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น
โดยผลพลอยได้นั้นไม่เพียงแต่ช่วยผ่อนคลายความเครียด
หรือทำให้จิตใจสงบเย็นลงได้เท่านั้น ทว่ายังช่วยให้สุขภาพดี
เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพ
และทำให้ระบบภายในร่างกายมีความสมดุลยิ่งขึ้นด้วย
ด้วยประโยชน์ที่
มากมายดังกล่าวข้างต้น
จึงไม่น่าแปลกในที่โยคะจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมานานนับหลายพันปี
ทั้งในปัจจุบันไม่เพียงแต่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่หันมาฝึกโยคะเพื่อการมี
สุขภาพที่ดี
เพราะมีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนให้ลูกในวัยเรียนได้รับการฝึกโยคะ
เพื่อพัฒนาจิตใจให้แจ่มใส และมีร่างกายที่แข็งแรงเช่นเดียวกัน
โดยในการฝึกโยคะสำหรับเด็กนั้น ผู้ฝึกสอนมักจะเลือกท่าทางที่ไม่ยากมาก อาทิ
ท่าผีเสื้อ ท่าภูเขา ท่ากระต่าย ท่าคีม ท่างู ท่าสุนัข ท่าต้นตาลเอน
ท่าต้นไม้ ซึ่งการฝึกในครั้งละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 40-60
นาทีไม่มากไปกว่านั้น ซึ่งเมื่อเด็กๆ สามารถฝึกท่าทางน่ารักๆ เหล่านี้ได้
ก็มักจะเกิดความภูมิใจ จึงนับเป็นกุศโลบายที่ดีต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ
ของเด็กทั้งร่างกาย จิตใจและอารมณ์
สำหรับข้อดีของการฝึกโยคะสำหรับเด็กในวัยเรียน มีดังนี้ต่อไปนี้
1.ช่วยฝึกการหายใจ
โดยการหายใจที่ถูกต้องจะสวนทางกับการหายใจในชีวิตประจำวันของคนทั่วๆ ไป
ซึ่งสามารถที่จะฝึกและแก้ไขได้ โดยเมื่อเด็กๆ
หายใจได้อย่างถูกต้องเป็นธรรมชาติ
ก็จะทำให้ออกซิเจนถูกส่งไปเลี้ยงร่างกายทุกส่วน มีผลทำให้เด็กๆ แข็งแรง
ไม่เหนื่อยง่าย
2.ช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลาย ด้วยหลักการเคลื่อนไหวร่างกายและเทคนิคการหายใจที่ผสมผสานกันทำให้เด็กๆ ช้าลง และมีสมาธิอยู่กับตัวเองมากขึ้น
3.ช่วยบริหารสมองทั้งสองซีกให้สมดุลกัน อีกทั้งยังช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกใช้สมองในการจิตนาการไปกับท่าทางต่างๆ
4.ช่วยให้เด็กมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และเชื่อมั่นสิ่งดีๆ ในตัวเอง
5.ช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น
แข็งแรง และควบคุมการทรงตัวได้ดียิ่งขึ้น
ถือเป็นกุศโลบายอย่างดีให้ลูกได้ออกกำลัง ซึ่งจะส่งผลทำให้ระบบต่างๆ
ในร่างกายทำงานอย่างมีสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม
แม้การฝึกโยคะสำหรับเด็กในวัยเรียนจะมีข้อดีมากมาย
แต่ก็มีเรื่องที่ควรพึงใส่ใจอยู่ไม่น้อย อันดับแรก
คุณพ่อคุณแม่ต้องถามตัวเองก่อนว่า ต้องการส่งลูกไปเรียนโยคะเพื่ออะไร
อย่าทำตามเพียงเพราะเป็นเรื่องของกระแสนิยมโดยลืมคำนึงถึงความชื่นชอบหรือ
ความสนใจของเด็กเป็นสำคัญด้วย โดยหากลูกเลือกที่จะเรียนแล้ว
ผู้ปกครองก็ควรกระตุ้นแนะนำให้เด็กได้เห็นประโยชน์ของการฝึกโยคะ
ก่อนที่จะเริ่มทำการฝึกอย่างจริงจัง โดยไม่เกินความสามารถที่เด็กจะทำได้
เมื่อ
ลูกไปเข้าคอร์สเรียนโยคะแล้ว
คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่สังเกตบรรยากาศในระหว่างการฝึกสอนโยคะด้วย
โดยเลือกโรงเรียนสอนที่ได้มาตรฐาน
และเลือกครูฝึกโยคะที่มีประสบการณ์ทางด้านโยคะสำหรับเด็ก
อีกทั้งยังควรดูแลเรื่องความปลอดภัยว่าทั้งครูผู้สอนและลูกปฏิบัติตามกฏการ
ฝึกอย่างเคร่งครัดหรือไม่
โดยต้องมั่นใจว่าหากลูกเกิดอันตรายในระหว่างการฝึกจะมีคนให้ความช่วยเหลือ
ได้ทัน
แน่นอนว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจคาดหวังจากการฝึกโยคะสำหรับเด็กก็
คือ เพื่อให้เจ้าตัวเล็กมีอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน
กระปรี้กระเปร่า และมีความกระตือรือร้น
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้และเกิดความคิดสร้างสรรค์ตามมา
ทว่าสิ่งที่จำเป็นก็คือ
คุณพ่อคุณแม่ควรต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโยคะ
และร่างกายของเด็กว่ามีความบอบบาง จึงไม่ควรให้ลูกฝึกฝนอย่างหักโหม
อีกทั้งยังไม่ควรมองข้ามโภชนาการที่ถูกหลัก
โดยดูแลให้ลูกรักได้รับประทานอาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่
เลือกสรรเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเด็กในการทำกิจกรรมในแต่ละ
วัน ซึ่งเมื่อลูกรักมีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ มีความแจ่มใส
สดชื่นและไม่งอแงแล้ว
ก็เชื่อว่าบรรยากาศภายในบ้านจะต้องอบอวลไปด้วยความสุขอย่างแน่นอนทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น